ในปี 2009 เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นปัจจัยสำคัญทางด้านการแข่งขันทางธุรกิจ ในช่วงปีนี้ที่เกิดภาวะตกต่ำทั้งทางด้านการลงทุน การจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศ และผู้ประกอบการทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำชลอตัว บริษัทต่างๆที่ทำการลงทุน และพัฒนา ตลอดจนการหาผลประโยชน์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพป้องกันสูญเสียเงินและมีศักยภาพในการใช้งาน อีกทั้งยังมีโอกาสกอบโกยทางด้านธุรกิจ และการตลาดที่สำคัญ และสามารถแลกเปลี่ยนความคิดกับทั้งลูกค้าเก่า และใหม่ได้อีกทางหนึ่ง
Top 10 Trends in IT ของปี 2009 มีดังนี้

เป็นที่น่าประหลาดใจเป็นอย่างมากว่า เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการพัฒนาความสามารถทางด้านซอฟแวร์เป็นไปอย่างล่าช้า ขีดจำกัดของคลื่อนวิทยุ ข้อกีดขวางของสมรรถนะ ตลอดจนการจัดการด้านระบบสารสนเทศล้วนแล้วแต่ส่งผลให้ซอฟแวร์ต่างๆ ไม่สามารถตอบสนองการใช้งานได้อย่างแท้จริง เมื่อกาลเวลาผ่านไป ปัจจุบัน การบริการทางด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ต่างๆ ได้เติบโตขึ้น คิดค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้นปีละ 40 % ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว เป้าหมายในการครอบคลุมอยู่ที่ประมาณ 23 % ของส่วนแบ่งตลาดซอฟแวร์ถึงปี 2010 อยู่ที่ 120 ล้านเหรียญสหรัฐ
1. Software as a Service (SaaS) คือ แม่แบบของซอฟท์แวร์รูปแบบใหม่ ซึ่งผู้ใช้บริการสามารถเลือกรูปแบบการใช้บริการให้เหมาะสมกับความต้องการได้ ผู้ใช้บริการสามารถใช้ซอฟท์แวร์ผ่านทางอินเตอร์เน็ต โดยไม่ต้องติดตั้งซอฟท์แวร์และทำงานบนคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้บริการ SaaS ช่วยให้ผู้ใช้บริการไม่ต้องเป็นภาระการดูแลและพัฒนาซอฟท์แวร์ และช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในลงทุนที่สูง SaaS ส่วนมากจะคิดค่าบริการตามจำนวนผู้ใช้งาน และไม่มีการเก็บค่าบริการเพิ่มเติม และการอัพเดทเวอร์ชั่นของซอฟท์แวร์ ทำโดยอัตโนมัติผ่านผู้ให้บริการ โดยที่ผู้ใช้บริการไม่จำเป็นต้องไป ดาวท์โหลดซอฟท์แวร์ มาติดตั้งเองแต่อย่างใด ในปัจจุบัน SaaS ในปัจจุบันนั้นมีทั้ง ERP, CRM, HR System ทำให้ SaaS เริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น

Virtualization เป็นเทคโนโลยีที่ได้ถูกนำมาใช้ได้อย่างชัดเจนมากในเรื่อง data center ตามที่หลายๆอุตสาหกรรมได้คาดการณ์ไว้ว่า ประมาณ 50 % – 60 % ของเซิร์ฟเวอร์ทั้งหมดในปัจจุบันถูกจำลองขึ้นมา จุดประสงค์ แน่นอนว่าเป็นการลดความเสียหายหรือการขัดข้องของเซิร์ฟเวอร์ ลดความไม่มีประสิทธิภาพ และลดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องที่สูงขึ้น
2. Virtualization คือ การรวบรวมเอาทรัพยากรด้านการประมวลผล และการจัดเก็บข้อมูลบนเซิร์ฟเวอร์แต่ละเครื่องมากองรวมกันไว้ตรงกลาง เป็น “Pool” และเปิดทางให้ผู้ใช้สามารถนำทรัพยากรเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ได้ตามเหมาะสม หรือตามความต้องการ (On-Demand)

3. Enterprise Mobility เมื่อหลายปีที่ผ่านมา ด้วย Wireless เทคโนโลยี ซึ่งรวมไปถึง โทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบ 3G และ Wi-Fi ได้เปิดช่องทางในการทำธุรกิจต่างๆได้อย่างอิสระ ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ และอยู่ที่ไหนก็ตาม

4. Energy-Efficient Data Centers ผู้ผลิต Chip and PC ต่างมุ่งดำเนินการด้านประสิทธิภาพพลังงานของชิ้นส่วน Chip and PC รวมไปถึงการพัฒนาด้าน memory และการจัดการทางด้าน resource แต่ในปี 2009 นี้ Daniel Starz, นักเขียนของ of “Greening Your Business” ได้คาดการณ์ไว้ว่า สิ่งที่น่าจับตามองคือ สิ่งที่ผู้ผลิตเหล่านี้จะมุ่งเน้นคือด้าน Virtualization และ Storage เขาได้กล่าวว่า ผลตอบแทนที่จะได้รับจากสองสิ่งนี้จะมีมหาสาร และมันเป็นสิ่งที่องค์กรต่างๆจะต้องให้ความสำคัญอย่างมาก

5. ecurity, Risk and Compliance - Anthony Noble รองประธาน ผู้ตรวจสอบทางเทคโนโลยีสารสนเทศ, ที่ Viacom in New York City และที่อื่นๆในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเชื่อว่าขบวนการอัตโนมัติเป็นสิ่งจำเป็นมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในด้านการควบคุมความเสี่ยง และมาตรฐานด้านความปลอดภัยด้านต่างๆ รวมถึงการตรวจพบการบุกรุก จนถึงการ Authentication และจาก patch management จนถึง การวิเคราะห์ที่ถูกใช้ในด้าน มาตรการความปลอดภัย องค์กรต่างๆเริ่มเติบและมีเพิ่มมากขึ้นต่างก็เปลี่ยนเป็นการเข้ารหัสและมาตรฐานความปลอดภัยมาจากการควบคุมโดยศูนย์กลาง

6. Social Networking - LinkedIn, Facebook, MySpace และ site คล้ายๆกันที่เกิดเพิ่มขึ้น ได้เปลี่ยน social networking จาก ที่เคยถูกเรียกว่า buzz (ประมาณว่าเสียงต่างๆที่ฟังดูวุ่นวาย) ให้กลายเป็น ธุรกิจสำคัญที่ได้รับความนิยมอย่างมาก องค์กรต่างๆที่มีความหลากหลายเท่าๆกับ American Express, Del Monte and Cisco Systems ได้นำ social network มาใช้เป็นเครื่องมือสำคัญ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่างๆต่อองค์กร ซึ่งได้แก่ wikis, blogs, discussion groups, collaborative filtering, and even applets and games
Concept ที่องค์กรเหล่านี้การนำ social network มาใช้คือ เพื่อเปิดโอกาสให้องค์กรได้มีโอกาสมากขึ้นในการติดต่อประสานงาน แลกเปลี่ยนหรือความรู้ ข้อมูลข่าวสาร ซึ่งกันและกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่หลายๆคนไม่คาดฝันว่ามันจะได้รับความนิยมอย่างมาก และมีประโยชน์มหาสาร ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

7. Web 2.0 - วิวัฒนาการของเวปอาจยังไม่ค่อยมีอะไรที่น่าประหลาดใจมาก แม้ว่าเครื่องมือเวปแต่ละ generation จะสร้างโอกาสใหม่ๆในเรื่องเวป แต่ Web 2.0 application ตัวปัจจุบันมีผลทำให้ธุรกิจต่างๆเปลี่ยนแปลงอย่างมาก จำนวนการใช้ที่เพิ่มขึ้นของ nteractive maps, blogs, wikis, mashups, social bookmarking, enhanced search engines, RSS feeds and social networking เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจาก Web 2.0 application เท่านั้น Web 2.0 ยังช่วยให้การจัดการข้อมูล งานต่างๆ และกระบวนการทางธุรกิจต่างๆง่าย และสะดวกขึ้นด้วย

8. Document Management and E-Discovery - แม้ว่า vendors ต่างๆจะเพิ่มความสามารถในการทำงานต่างให้ เริดหรู และมีลูกเล่นมากขึ้น เช่น ความสามารถในการ track text messages, IMs และ ข้อความอื่นๆที่อาจไม่มีโครงสร้างที่ดี อย่างไรก็ตาม ความท้าทายหลักของการทำ application เหล่านี้คือ จะพัฒนาระบบเหล่านี้ให้เก็บ จัดการ ดึงเอกสาร และข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ลดการเกิดปัญหาความผิดพลาดน้อยที่สุด และนี่คือข่าวดีสำหรับผู้ประกอบการที่มองหาทางออกในเรื่องนี้: Kyle McNabb, principal analyst and research director ของ Forrester Research กล่าวสรุปไว้ว่า “Vendors ที่ทำ application เหล่านี้ กำลังจะแนะนำ products and solutions ที่ราคาถูกขึ้นมากกว่าเมื่อเทียบกับในอดีต”

9. Project Management and Project Portfolio Management - ในปัจจุบันที่ปัจจัยเรื่องเวลา และการใช้งบประมาณอย่างระมัดระวัง (เนื่องจากเศรษฐกิจแย่มาก) การทำ project ให้เสร็จสิ้นตรงเวลาเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่น่าแปลกใจเลยว่า องค์กรต่างๆหันมาใช้ การทำงานแบบระบบโครงสร้าง และซอฟ์แวร์ในการติดตามรายละเอียดการทำงานทุกอย่าง ดังนั้น project management (PM) และ project portfolio management (PPM) ได้กลายมาเป็นสิ่งที่ถูกให้ความสนใจอย่างมากที่ช่วยให้ project เสร็จสิ้นตามเวลาที่กำหนดเพื่อประโยชน์ด้านงบประมาณ

10. Web and Video Collaboration - ปัจจุบันเครื่องมือช่วยในการรวบรวมกลายเป็นรากสำคัญ และเปลี่ยนแปลงลักษณะการทำธุรกิจ ตามที่ the Boston-based research firm Aberdeen Group ได้ทำ research พบว่าบริษัทต่าง 63% กล่าวว่าพวกเขาจะใช้ระบบ videoconferencing และที่เรียกว่าระบบ telepresence ในสิ้นปี 2010 มีเพียงแค่ 18% เท่านั้นที่กล่าวว่า พวกเขาไม่มี plan ที่จะนำระบบดังกล่าวมาใช้ในการทำธุรกิจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น